แต่การซื้อขายหุ้นมักเป็นการเสี่ยงโชค ไม่มีใครบอกได้ว่าบริษัทไหนจะเจริญหรือไม่ ถ้าบริษัทมีชื่อเสียงดี นักลงทุนก็จะสนับสนุน บริษัทที่ชื่อเสียงไม่ดีหรือสมรรถภาพไม่ดีก็จะขายหุ้นไม่ออก ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ ผิดไปจากตลาดปกติที่เราสามารถหยิบสินค่าและเอามันกลับบ้านได้ มันเป็นแต่รูปแบบราคาหุ้น และตารางบนจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งราคาของมันอาจขึ้นลงภายในเซี่ยววินาที เจ้าของหุ้นจึงต้องตัดสินอย่างฉับไวถ้าจะไม่พลาดโอกาศดี แม้แต่ข่าวลือก็สามารถทำให้ความต้องการหุ้นตกอย่างรวดเร็วไม่ว่ามูลค่าจริงของบริษัทจะเป็นอย่างไร และตรงข้ามก็เป็นไปได้ ถ้าคนจำนวนมากซื้อหุ้นที่อ่อนแอเพราะเขาเห็นว่ามีศักดิ์สูง ราคาของหุ้นก็จะพุ่งสูงขึ้น โดยมากบริษัทใหม่ๆ จะได้ประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้ แม้ยอดขายจะตก เขาสามารถทำเงินสดโดยขายหุ้น
ในกรณีที่ดีที่สุดก็จะทำให้ความคิดเป็นสมจริง ในกรณีเลวร้ายสุดก็จะเกิดฟองสบู่ที่มีแต่ลมร้อน และเหมือนฟองสบู่ทั่วไป สักวันมันจะแตก มูลค่าของบริษัทเยอร์มันที่ใหญ่สุด 30 บริษัทจะสรุปในดัชนีที่เรียกว่า DAX DAX แสดงว่าบริษัทเหล่านี้มีสมรรถนะอย่างไร และจึงเป็นตัวชี้วัดสมรรถนะของเศรษฐกิจทั้งมวลด้วย ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศอื่นก็มีดัชนีของเขาด้วย และทั้งหมดนี้ทำให้เกิดตลาดทั่วโลกที่เป็นเครือข่ายกัน
ที่มา Kurzgesagt – In a Nutshell Youtube Channel