เมื่อพญาวานรนั้นไม่รู้จักความประสงค์ของจรเข้ก็กระโดดไปที่หลังจรเข้ จรเข้ว่ายน้ำไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ทำท่าจะจมลงไปในน้ำ พญาวานรจึงว่า ท่านจะทำให้เราจมน้ำตายหรือ จรเข้ตอบว่าจ้ะ เราจะทำให้ท่านจมน้ำตายจะได้เอาเนื้อหัวใจของท่านไปให้แก่ภรรยาของเรา พญาวานรจึงว่า ท่านเข้าใจว่าเนื้อหัวใจของเราอยู่ในอกของเราหรือ เมื่อจรเข้ได้ฟังดังนี้ ก็เกิดความสงสัย จึงถามว่า ถ้าอย่างนั้นเนื้อหัวใจของท่านอยู่ที่ไหน พญาวานรตอบว่าเนื้อหัวใจของเราแขวนอยู่ที่กิ่งมะเดื่อโน้น ท่านไม่เห็นหรือ จรเข้ตอบว่า เห็น แต่ท่านจะให้เราหรือไม่ พญาวานรตอบว่าให้ จรเข้จึงได้พาพญาวานรกลับไปที่ริมฝั่ง จนกระทั่งถึงต้นมะเดื่อ ซึ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำด้วยความโง่เขลาของตน
พญาวานรก็วิ่งกระโดดขึ้นจากหลังจรเข้ไปนั่งอยู่บนต้นมะเดื่อ แล้วกล่าวขึ้นว่า เราอาจทำตัวของเราให้ขึ้นมาพ้นน้ำได้แล้ว ดูก่อนจรเข้ผู้เป็นสัตว์น้ำ บัดนี้เราจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของท่านอีก ผลไม้น้อยใหญ่ เป็นต้นว่า มะม่วง ลูกหว้า ขนุนที่อยู่ในเกาะนั้น เราไม่ต้องการเสียแล้ว ผลมะเดื่อของเราต้นนี้ดีกว่า แล้วกล่าวเป็นคติไว้ว่า ผู้ใดไม่รู้เท่าทันเหตุการณ์ได้โดยเร็วพลัน ผู้นั้นย่อมพ้นอำนาจศัตรูได้ ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลังดังนี้ฯ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า การที่พญาวานรจะได้ความคิดอย่างรวดเร็วจนถึงกับหลอกจรเข้ได้เช่นนั้น ก็เพราะพญาวานรนั้น ไม่สะดุ้งตกใจไม่ทำให้ใจเสีย โดยเหตุนี้ซึ่งบอกไว้แล้วว่า เมื่อคนเราเกิดอันตรายสำคัญขึ้น อย่าทำให้ใจเสียฯ
บทความแนะนำ